ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปที่ร้านขายเครื่องสำอาง หรือ เลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดนั้นเราควรจะทำความรู้จัก กันก่อนว่า ครีมกันแดดนั้น คืออะไร และมีค่าอะไรบ้างที่เราจำเป็นจะต้องรู้ก่อนเลือกซื้อคร่ีมกันแดด มาเริ่มกันเลยครับ
ครีมกันแดด
ผลิตภัณฑ์กันแดดนั้น ใช้สาหรับดูดซับ สะท้อน หรือกระจายแสงแดดเพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดดที่จะมาทาลายผิวเหมาะที่จะใช้ในทุกสถานที่ เพราะว่าจะได้ไม่ต้องถือร่มหรือสวมหมวก เนื่องจากว่าสถานที่บางแห่งเช่น สระว่ายน้ำ ชายทะเล สนามม้า สนามกอล์ฟ การใช้ครีมกันแดดจะสะดวกกว่าการถือร่มอย่างมาก
ชนิดของครีมกันแดด ผลิตภัณฑ์กันแดดมีหลายชนิด ทั้งในรูปของครีม โลชั่น โลชั่นน้ำนม สเปรย์ แป้งแข็ง ลิปสติก ครีมถนอมผิว แท่งแข็ง (สติ๊ก) ส่วนผลิตภัณฑ์ Sun Tan คือผลิตภัณฑ์ตากแดดแล้วสีผิวเข้มขึ้นโดยไม่เกิดอันตราย นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดกันน้ำยังมีความจำเป็นสำหรับคนไปเล่นน้ำ เมื่อทาผลิตภัณฑ์ กันแดดแล้วลงเล่นน้ำนานประมาณ 1 ชั่วโมง ประสิทธิภาพกันแดดควรเหลืออย่างน้อยร้อยละ 50 ผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดกันน้ำ จึงจาเป็นสาหรับเมืองไทยซึ่งอากาศร้อนเหงื่อที่ออกมาจะส่งผลให้ยากันแดดมีประสิทธิภาพการกันแดด (SPF) ต่ำลง
ได้มีการแบ่งชนิดของผลิตภัณฑ์กันแดดไว้ดังนี้
- 1.Physical sunscreen คือกลุ่มที่ออกฤทธิ์ทางกายภาพ ได้แก่ ไททาเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) ซิงค์ออกไซด์ (zinc oxide) กลุ่มนี้จะป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตชนิด เอ (UVA) เป็นสารที่สะท้อนแสงและกันแสงออกจากผิวหนัง ยากันแดดกลุ่มนี้ป้องกันได้ทั้งยูวีเอ (UVA) ยูวีบี(UVB) และอินฟาเรด แต่หลายท่านไม่นิยมทาแพราะทาแล้วเหนียวเหนอะหนะ หน้าขาววอก และอาจมีเศษฝุ่น เม็ดทรายซึ่งสกปรกมาติดได้ง่าย
- 2.Chemical sunscreen คือกลุ่มที่ออกฤทธิ์ทางเคมี ซึ่งเมื่อทาแล้วจะไปรวมตัวกับส่วนประกอบของผิวหนังชั้นนอกสุด ทาให้สามารถดูดซึมแสงไว้ในชั้นนี้ กลุ่มนี้มีหลายประเภท บางชนิดป้องกันได้เฉพาะ UVB เช่น กลุ่ม PARA , PABA ester , cinnamates . salicylate บางท่านอาจแพ้ PABA และอนุพันธ์ของมัน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นยากันแดดที่ปราศจากสาร PABA (PABA free sunscreen) บางชนิดป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB เช่น benzophenones , anthranilateเป็นต้น
ข้อควรคานึงในการเลือกใช้ครีมกันแดด
ระวังสารสำคัญบางชนิดในครีมกันแดด ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงมักมีส่วนผสมของสารที่ออกฤทธิ์ทั้งทางเคมีและกายภาพ แต่ขณะเดียวกันยากันแดดอาจทาให้เกิดอาการแพ้ได้ถ้าหากว่าคุณเป็นผู้ที่แพ้สารเคมีบางชนิดเช่น ซัลฟา ยาชา ซึ่งสารเหล่านี้มีโครงสร้างคล้ายกับสารกันแดด
ครีมกันแดดที่มี SPF สูงจะทำให้แพ้ง่าย ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่พอเหมาะ
พยายามหลบแดดเสมอ ควรนึกไว้ว่าครีมกันแดดไม่ได้ป้องกันผิวหนังของคุณได้ 100% (ประมาณ90%) เพราะว่าครีมกันแดดอาจหลุดลอกออกไปได้ เช่น เวลาเหงื่อออก เวลาเช็ดตัว ดังนั้นถึงแม้ว่าใช้ยากันแดดแล้วยังคงต้องหลบแดดอยู่เสมอ
ควรใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม ไม่ควรใส่เสื้อกั๊ก หรือเสื้อยืด เพราะว่าจะกันแดดได้ไม่ดีเท่าเสื้อผ้าฝ้าย เนื้อแน่น ทาครีมกันแดดซ้าหลังเล่นน้ำ เมื่อใช้ยากันแดดหลังลงน้าได้ 2 ชั่วโมง เมื่อขึ้นมาจากการเล่นน้าแล้วควรทาซ้าอีก
SPF ( sun protection factor) คือ ประสิทธิภาพของยากันแดด ซึ่งเมื่อทายาแล้วจะสามารถถูกแสงแดดได้นานกว่าผิวหนังที่ไม่ได้ทายาเท่าใดนั้น ให้สังเกตตัวเลขที่ SPF ยกตัวอย่างเช่น SPF-15 หมายถึงว่าเมื่อทายากันแดดนาน 20 นาที ผิวจะเริ่มไหม้แดดแต่เมื่อทายากันแดดที่มี SPF-15 หมายถึงสามารถถูกแดดดได้นานเพิ่มเป็น 15 เท่า คือ 15×20=300 นาที คือประมาณ 5 ชั่วโมง ผิวหนังจึงจะเริ่มไหม้แดด ซึ่งผู้ที่เป็นฝ้าควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF-15 หรือมากกว่านั้น ปริมาณของการใช้ยากันแดดในการหาค่ามาตรฐาน คือ ต้องทายากันแดด 2 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรนั้น นับว่ามากกว่าปริมาณการใช้ในชีวิตจริง คนปกติจะทายากันแดดแค่ 0.5 ถึง 1 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น ทั้งนี้เพราะ หากทายากันแดดมากไปจะเกิดปัญหาด้านความมันและความสวยงาม สาหรับยากันแดดชนิดที่ละลายน้ำได้น้อยนั้น มีชื่อคือ Water resistant ใช้ส่วนผสมจากพลาสติกสร้างแผ่นฟิล์มเคลือบกันแดดให้ติดแน่นแม้จะเปียกน้ำดังนั้นเมื่อทาการหาค่า SPF หลังอยู่ในน้ำ 40 นาที แล้วค่า SPF ยังคงที่ ส่วน Waterproof (=very water resistant) หมายถึงการหาค่า SPF หลังอยู่ในน้ำ 80 นาที
จริงๆแล้วไม่มีครีมกันแดดที่กันน้ำ (Water proof) ได้จริงดังฉลากที่แปะไว้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้สูตรนี้เพราะทาให้ผิวรู้สึกเหนียวใต้เมคอัฟ ดังนั้นการเลือกใช้ครีมกันแดดต้องดูตามความเหมาะสมและสภาพผิวด้วยครับ โดยการใช้ยากันแดดตามค่า SPF นี้มักดูตามลักษณะของสีผิวคือ
- ถ้าผิวไหม้แดดง่าย โดยผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนยาก ใช้ค่า SPF 20-30 (Ultra high)
- ถ้าผิวไหม้แดดง่าย โดยผิวอาจมีสีแทนนิดหน่อย ใช่ค่า SPF 12-20 (Very high)
- ถ้าผิวไหม้แดดปานกลาง และผิวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแทนใช้ค่า SPF 8-12 (High)
- ถ้าผิวไหม้แดดได้น้อย และผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้เสมอ ใช่ค่า SPF 4-8 (Moderate)
- ถ้าผิวไหม้แดดยากมาก และผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้อย่างมาก ใช้ค่า SPF 2-4 (Minimal)
ถ้าดูตามนี้จริงๆ แล้ว คนไทยส่วนใหญ่ซึ่งน่าจะจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ 4-5 คือโดนแดดอย่างไร ก็ไม่ไหม้เสียที จะมีก็แต่ผิวคล้าดำปี๋ ก็ควรจะใช้ SPF แค่ 2-8 เท่านั้นเอง เมื่อดูจากค่า SPF และปริมาณการดูดซับรังสียูวีบี พบว่า
ค่า SPF เท่ากับ 2 จะดูดซับ UVB ได้ 50%
ค่า SPF เท่ากับ 4 จะดูดซับ UVB ได้ 75%
ค่า SPF เท่ากับ 8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5%
ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3%
ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95%
ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
ส่วนค่ามาตรวัดระดับการปกป้องเป็น PA (Protection grade of UVA) คือการวัดคร่าวๆว่าครีมกันแดดนั้นกันรังสียูวีเอได้มากแค่ไหนด้วยเครื่องหมาย + ซึ่ง มีอยู่3 ระดับ คือ
PA+/PA++/PA+++ ซึ่งจริงๆแล้ว PA+ ก็เพียงพอในการทากิจกรรมเกือบทุกประเภทแต่ถ้าต้องอยู่กลางแดดนานให้เลือก PA++ หรือสูงกว่า
สาหรับวิธีการทาครีมกันแดด
ควรทาก่อนออกแดด 30 นาที อาจจะต้องทาซ้าทับกัน 2 เที่ยวห่างกันทุก 15นาที โดยแต้ม 5 จุดบนหน้า แต่ละจุดใช้ เนื้อครีมปริมาณเม็ดถั่วลิสง และเกลี่ยจนทั่วหน้า ควรทาซ้าทุก 2 ชั่วโมงหากต้องออกแดด การเลือกครีมกันแดด
ชนิดกันน้ำ (Water proof) เหมาะกับผู้ที่ต้องว่ายน้ำ เพราะสารเหล่านี้จะเคลือบคลุมปิดผิวไว้ตลอดเวลา แต่หากจะล้างให้หมดจด ก็ต้องล้างโดยวิธีพิเศษเช่นใช้ครีมล้างหน้า เสร็จแล้วต่อด้วย เจลล้างหน้า ตามด้วยน้ำเปล่าจนสะอาด ครีมกันแดดประเภทนี้ กันน้ำได้ทนประมาณ 60-80 นาที แล้วต้องทาซ้ำ แต่ประเภท Water resistant ต้องทาซ้ำทุก 40 นาที
มีรายงานว่าค่า SPF ต่าๆ(2-6) จะไม่ช่วยป้องกันอะไรเลย ดังนั้นเวลาใช้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี SPF เหมาะสม อย่างต่าประมาณ 15 ผลิตภัณฑ์นั้นป้องกันแสงแดดได้ทั้งยูวีเอ ยูวีบี และควรกันน้ำได้ เพราะว่าประเทศไทยมีอากาศร้อน ทาให้มีเหงื่อออกมาก ครีมกันแดดชนิดกันน้ำจึงจาเป็น และถ้าคุณต้องรับประทานยาบางชนิดอยู่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าผลิตภัณฑ์กันแดดนั้น จะทาให้เกิดปฏิกิริยาแพ้แสง หรือมีผลต่อเครื่องสาอาง สเปรย์ น้าหอม ยาย้อมผม หรือยารับประทานที่กาลังใช้อยู่หรือไม่ ซึ่งทาให้คุณสามารถใช้ครีมกันแดดเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัยและไร้กังวลครับ
สาหรับวิธีใช้ที่เหมาะสมคือ ผิวคนไทยเลือกใช้ SPF 15 และควรมีสารออกฤทธิ์ 2 ตัวขึ้นไป โดยต้องป้องกันทั้งรังสียูวีเอ และ ยูวีบี ทาทับกัน 2 เที่ยวห่างกัน 15นาที เสร็จแล้วทาแต่งหน้าทับได้ โดยควรทาซ้าทุก 2 ชั่วโมงหากต้องออกแดด
ขอบคุณข้อมูลจาก : ศ.ดร.นพ.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย